ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

The Outpost - ฝ่ายุทธภูมิล้อมตาย

 

ดูหนังฟรี

รีวิว The Outpost - ฝ่ายุทธภูมิล้อมตาย

เรากำลังจะได้ดูอีกหนึ่งหนังที่อิงมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ปฏิบัติการทางการทหารที่ถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์กับการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย กับฐานที่มั่นที่เสียเปรียบในเชิงยุทธศาสตร์ ที่ถูกตั้งฉายาและเรียกว่า "ปากหลุมนรก" ภารกิจที่ต้องตัวรอดจากการถูกลุมร้อมของทหารกล้า 54 นาย ถึงได้เริ่มต้นขึ้น รีวิว The Outpost

เรื่องย่อ

เรื่องราวของเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพสหรัฐฯ กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ต้องประจำการอยู่ที่ฐานทัพในหุบเขาลึกของอัฟกานิสถาน ที่กลายเป็นยุทธศาสตร์ที่ตั้งที่เสียเปรียบในเชิงการทำศึกการทหาร เนื่องจากตั้งอยู่กลางหุบเขาที่ล้อมรอบ และยังอยู่ในพื้นที่ฐานที่มั่นของตอลิบาน 54 ทหารกล้าที่ประจำการ ต้องต่อสู้เผชิญหน้ากับกลุ่มก่อการร้ายนับร้อยที่อาวุธครบมือ


“นักวิเคราะห์ต่างเรียกค่ายนี้ว่า ค่ายมรณะ เพราะจะไม่มีใครรอดไปจากค่ายนี้ได้” เรียกว่าจั่วหัวได้อย่างน่าสนใจ พร้อมกับข้อความ “สร้างจากเรื่องจริง” ที่กลายเป็นคำการตลาดที่ได้ผลสำหรับหนังแนวโศกนาฏกรรมสงครามไปเสียแล้ว

ผลงานการกำกับหนังเรื่องล่าสุดของ "ร็อด ลูรี่" ที่หวนกลับมาลุยงานหนังใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่เบนเข็มหันไปเอาดีกับงานด้านโทรทัศน์มากกว่า ดัดแปลงมาจากหนังสือเชิงสารคดีของ "เจค แท็ปเปอร์" ทีชื่อว่า 'The Outpost: An Untold Story of American Valor' ที่อ้างอิงมาจากบันทึกและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในฐานปฏบัติการทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ

เนื้อเรื่อง

ตัวหนังก็พัฒนาบทมาจากหนังสือชื่อ The Outpost: An Untold Story of American Valor เขียนโดยหัวหน้าผู้สื่อข่าวของ CNN อย่าง เจก แทปเปอร์ ที่เล่าถึงวีรกรรมนรกแตกของ 53 ทหารอเมริกัน (และทหารลัตเวียอีก 2 นาย) ใน สมรภูมิแกมเดช (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น สงครามค่ายคีตติ้ง)

ที่ปฏิบัติการกลางดงเหล่าผู้ก่อการร้ายตาลีบันถึงในซอกเขาชนบทของอัฟกานิสถาน โดยความช่วยเหลือที่ใกล้ที่สุดต้องรอคอยกันกว่า 2 ชั่วโมง และที่สำคัญชัยภูมิที่ตั้งค่ายก็แหกตำรากลยุทธ์ทุกเล่ม เพราะเล่นตั้งอยู่กลางแอ่งกระทะที่โอบล้อมจากภูเขาสูงทุกด้าน เรียกว่าเชิญชวนให้ปิดประตูตีแมวได้เลย

ผู้กำกับ ร็อด ลูรี อาจยังไม่มีผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้คุ้นหูนัก แต่ก็ไม่ใช่มือใหม่เสียทีเดียว เพราะเขาก็ช่ำชองกับการเป็นนักเล่าเรื่องราวแบบเครียด ๆ หนัก ๆ ทั้งดราม่าทหาร การต่อสู้ หรือการเมือง อยู่เสมอ ซึ่งนี่ก็เป็นโพรเจกต์ที่คอสงครามต่างเฝ้ารอให้ได้ขึ้นจอเงินอยู่เสมอ ไม่ต่างจากปฏิบัติการเรดวิงที่เคยกลายเป็นหนังชื่อดังอย่าง Lone Survivor (2013) ของผู้กำกับ ปีเตอร์ เบิร์ก มาแล้ว

การเล่าเรื่อง

หนังมาพร้อมกับเนื้อหาและโทนที่แบ่งอารมณ์ออกได้ชัดเจน โดยในครึ่งแรกเป็นการปูเรื่องราวและแนะนำตัวละครกับภารกิจประจำวันของคาแรกเตอร์ และยังเกลี่ยบทบาทแต่ละตัวละครออกมาได้เสมอภาคกัน

ไม่ได้มีใครโดดเด่นหรือบทนำกว่าใคร ขณะที่ครึ่งหลังของเรื่องเต็มไปด้วยระเบิดตูมตาม ฉากแอคชั่นสงครามที่จัดเต็มต่อเนื่องแบบไม่ได้หยุดหายใจ ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดที่อยู่ตรงหน้า

แม้ว่าหนังจะเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเดิมๆ ในแบบฉบับหนังแอคชั่นสงครามยุทธวิธีทางการทหารที่เคยเห็นและดูจากดูหนังฟรีเรื่องอื่นๆ มาบ้างแล้ว แต่ก็ถือว่าหนังมีวัตถุดิบชั้นดีเป็นโครงเรื่องที่มีความหนักแน่นและคล้ายตามได้ง่าย ด้วยการใช้ตัวละครและเหตุการณ์ขับเคลื่อนเรื่องราวไป โดยการใช้เทคนิคเล่าเรื่องพื้นฐานตามไทม์ไลน์ไปเรื่อยๆ แบบไม่โดดเด่นอะไร

ทว่าในแง่ซีนโชกเลือดและโศกนาฏกรรมแล้ว สมรภูมิแกมเดชจัดว่าโหดกว่าเรดวิงมาก เพราะเป็นการล้อมสังหารทหารอเมริกันเพียง 50 กว่าคน โดยกองกำลังตาลีบันกว่า 400 คนที่ได้เปรียบทั้งจำนวนคนและทั้งเชิงพื้นที่กว่ามาก

ด้วยความที่หนังได้การรีเสิร์ชที่ดีจากหนังสือเป็นทุนอยู่แล้ว ประกอบกับความต้องการอุทิศคารวะทหารหาญทุกนายที่สละชีพไปในค่ายแห่งนี้ จึงจำเป็นต้องเล่าย้อนกันไปตั้งแต่ต้นตอปัญหา สมัยที่ ผู้กองคีตติ้ง (ออแลนโด้ บลูม) ดำเนินการสันติภาพ

โดยเข้าเจรจากับหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ให้วางอาวุธ โดยแลกกับการช่วยเหลือเงินทุนเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษาและสาธารณูปโภคแก่ชาวบ้าน เรื่อยมาจนเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำค่ายและทำให้ข้อตกลงของคีตติ้งถูกเมินเฉย

และจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างตัวบุคคล เช่นผู้สั่งการ ตลอดจนเหตุผลด้านการเมืองใด ๆ หนังก็ค่อย ๆ ให้เราซึมซับเมฆร้ายที่ตั้งเค้าก่อนเกิดพายุทีละน้อย ๆ จากหนทางสันติภาพและการได้ยุบค่ายกลับบ้าน ก็แปรเปลี่ยนเป็นการดันทุรัง และโศกนาฏกรรมในที่สุด

จุดเด่น

ซึ่งที่ว่านี้หนังจึงต้องใช้เวลาปูที่มาที่ไปเกือบครึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นทั้งข้อดีคือได้ข้อมูลมาก (ในระดับที่เกือบข้ามเส้นไปเป็นหนังสารคดี) เพื่อให้ผู้ชมตัดสินความถูกผิดกันเอง โดยผู้กำกับก็ใช้จุดแข็งของเซ็ตติ้งมรณะกลางดงศัตรูกับกระสุนที่ไม่รู้จะยิงมาตอนไหน ได้ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนอยู่เป็นระยะ

ซึ่งถือว่าหนังใหม่ชนโรงทำได้ดี (ถ้าคุณไม่ได้รังเกียจช่วงดราม่ายาว ๆ ในหนังสงครามแอ็กชัน) ..ว่ากันตามตรงจากไม่ค่อยชอบในตอนแรก เมื่อถึงจุดหนึ่ง กลายเป็นชอบวิธีการเล่าตรงนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น เหมือนได้ศึกษาปัญหาไปพร้อมกัน

ส่วนข้อเสียที่ตามมาคือ.. จะด้วยเพราะความเคารพอย่างสุดซึ้งหรืออย่างไรไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ ๆ คือไม่สงสารคนดูเลย เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมาจนถึงจุดนี้หนังก็แวะเวียนให้ได้รู้จักทหารทั้ง 55 นายในค่าย (อเมริกัน 53 ลัตเวีย 2) แบบขึ้นชื่อให้รายคน! ทุกคน! ซึ่งยอมรับว่าปวดกบาลมากในการต้องจดจำหน้าตา

และชื่อบางคนเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ๆ ความรู้สึกช่างมันก็บังเกิดขึ้น และขอเลือกจำแค่ตัวหลัก ๆ ที่หน้าขึ้นโปสเตอร์อย่าง ผู้กองคีตติ้ง, จ่าโรเมชา (สก็อตต์ อีสต์วูด) และ พลทหารคาร์เตอร์ (คาเล็บ แลนดี โจนส์) พอ ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ดีครับ แนะนำเลย

ช่วงแอ็กชัน

หนังเข้าช่วงแอ็กชันที่รอคอยจริงจังในครึ่งเรื่องหลัง แต่มาแล้วก็สาดกันยาว ๆ แบบไม่เว้นจังหวะหายใจ จำนวนนาทียิ่งนาน ความมันยิ่งมากตาม และสถานการณ์ในเรื่องก็ยิ่งบีบหัวใจ จนต้องจิกเบาะ ทั้งงานภาพที่วิ่งสู้ฟัดข้างตัวละครฝ่าควันระเบิดและห่ากระสุนราวกับเราไปอยู่ตรงนั้นด้วย

ยิ่งผสมกับการเล่นเสียงห่าปืนกล ปืนใหญ่ จากรอบทิศทาง ดั่งเพชรฆาตที่ค่อย ๆ ล้อมเราเข้ามา ต้องบอกว่าคุ้มค่ามากกับการดูปูเรื่องมากว่าชั่วโมง เพราะได้เห็นทุกปัญหาที่ทิ้งไว้ระเบิดขึ้นมาเป็นหายนะในทุกหย่อมหญ้าของค่ายคีตติ้ง คือสนุกมาก ไม่มีอะไรให้ติติงเลย

รีวิว The Outpost

เหตุความรุนแรงที่ไม่มีหยุด

หัวหน้าคนแล้วคนเล่าที่เข้ามาปฏิบัติงานกำกับดูแลพวกเขา แล้วก็เสียชีวิตไปเพราะถูกกระสุนยิงใส่ร่าง

หนังไม่ได้บอกอะไรมากนัก ว่าสถานะของทหารอเมริกันกับกลุ่มชาวบ้านแถบนั้นเป็นอย่างไร ดูมีความคลุมเคลืออยู่ไม่น้อย แต่สถานการณ์ช่วงครึ่งหลังที่กลุ่มตาลีบันบุกล้อมทุกทิศทาง ระดมยิงใส่ฐานที่มั่นหนึ่งเดียวของพวกเขา

หนังจู่โจมเข้าใส่คนดูด้วยลีลาการเคลื่อนกล้องกึ่งแฮนด์เฮลด์ การถ่ายระยะใกล้ และลองเทค ประกอบกับเสียงปืน เสียงระเบิด ทั้งหมดเสมือนพาผู้คนให้เข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์จริง วิ่งหนีกระสุนกันจ้าละหวั่น เล็งเป้าเข้าหาศัตรูด้วยตาตัวเอง ตัดสินใจออกไปช่วยเหลือเพื่อนทหารด้วยความกล้าหาญ

โดยรวม

เป็นหนังสงครามที่อัดแน่นมาด้วยปฏิบัติการที่ทำให้คนดูต้องลุ้นระทึกและหัวใจเต้มแรงตามภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า หนังตอบโจทย์คนดูได้เป็นอย่างดี คอหนังสงครามระทึกขวัญประเภทนี้จะต้องถูกใจได้ไม่ยาก ครึ่งแรกอาจจะเบาๆ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อ เปลี่ยนโหมดมาสู่ครึ่งหลังที่ใส่ฉากสงครามมาแบบแทบไม่ได้หยุดหายใจ

หนังปิดท้ายด้วยความเศร้าสะเทือนใจ มองเห็นอย่างชัดแจ้งถึงความสั่นสะเทือนทางจิตใจที่ทหารได้รับจากการปฏิบัติงาน ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เราได้เห็นช่วงเวลาเหล่านั้น แถมยังเสมือนได้เข้าไปผจญห่ากระสุนด้วยตนเอง ฉากนั้น ใครที่ได้ดูมาตั้งแต่ต้นคงอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว มันมากเกินจะทนจริงๆ

สรุป

เป็นหนังสงครามที่ให้ข้อมูลแน่นมาก ได้ศึกษาทั้งแง่ตัวคนในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ไปอยู่ในสงคราม ไปจนถึงได้วิเคราะห์ระบบการบริหารจัดการที่น่าจะเป็นบทเรียนชั้นดี แล้วสายแอ็กชันก็สะใจคุ้มค่าทุกนาทีในชั่วโมงหลังได้เต็มเหยียดยาว ๆ แบบโคตรลุ้นโคตรมันแน่นอน

ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องจริงมันจบไม่สวย แต่ให้ตั้งการ์ดกันเจ็บไว้แค่ไหนก็อดไม่ไหวจริง ๆ ที่เห็นตัวละครหลายตัวที่ผูกพันมาตลอดเรื่องต้องตาย สงครามไม่ได้ให้อะไรที่สร้างสรรค์กับมนุษย์เลยจริง ๆ

ความคิดเห็น