รีวิว Relic - กลับมาเยี่ยมผี
สุดสัปดาห์นี้ยังมีหนังสยองขวัญเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่เข้าฉายในบ้านเรา "Relic" หนังจากออสเตรเลียที่กลายเป็นที่กล่าวถึงในช่วงล็อกดาวน์จากโควิด-19 ที่่ผ่านมา กับโทนความหลอนและน่าสะพรึงกลัวในบรรยากาศที่ถ่ายทอดออกมา สร้างความไม่ไว้วางใจให้กับคนดูไปตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าตัวหนังจะมีความยาวที่ไม่มากนัก แต่อัดแน่นไปด้วยสัญลักษณ์ที่บางครั้งไม่จำเป็นต้องนึกคิดตีความใดๆ ก็ได้ รีวิว Relic
เรื่องย่อ
เมื่อ “เอ็ดน่า” หญิงชราผู้เป็นยายของ “แซม” ได้หายตัวออกไปจากบ้านอย่างลึกลับ แซม หลานสาวผู้เป็นที่รัก และ “เคย์” แม่ของเธอจึงได้รีบกลับไปตามหา เอ็ดน่า ที่บ้านเก่าที่อยู่ในชนบทอันห่างไกล เมื่อทั้งสองไปถึงที่นั่น
พวกเธอพบว่าภายใต้บ้านอันทรุดโทรมที่มีความทรงจำมากมายหลังนั้น รอบบ้านยังมีร่องรอยบางอย่างที่แสดงถึงภาวะความเสื่อมถอยของสังขาร เอ็ดน่า เต็มไปหมด และหลังจากที่ทั้งคู่ออกตามหาคุณยายที่หายไปจนเกือบถอดใจ
เอ็ดน่า หญิงชราที่หายไปก็ปรากฎตัวขึ้นมาที่บ้านอย่างลึกลับ การกลับมาอย่างพิศวงของ เอ็ดน่า พร้อมกับพฤติกรรมประหลาดที่เปลี่ยนไป ทำให้สองแม่ลูกเกิดความสงสัยในตัวคุณยายเอ็ดน่า และเรื่องราวชวนขวัญผวาก็ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อคนที่คุณรัก บ้านที่คุ้นเคย ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…และทุกสิ่งกำลังเน่าสลาย
สุดสัปดาห์นี้ยังมีหนังสยองขวัญเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่เข้าฉายในบ้านเรา "Relic" หนังจากออสเตรเลียที่กลายเป็นที่กล่าวถึงในช่วงล็อกดาวน์จากโควิด-19 ที่ผ่านมา กับโทนความหลอนและน่าสะพรึงกลัวในบรรยากาศที่ถ่ายทอดออกมา
สร้างความไม่ไว้วางใจให้กับคนดูไปตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าตัวหนังจะมีความยาวที่ไม่มากนัก แต่อัดแน่นไปด้วยสัญลักษณ์ที่บางครั้งไม่จำเป็นต้องนึกคิดตีความใดๆ ก็ได้
เรียกว่ามาได้จังหวะช่วงปลายเดือนตุลาคม ต้อนรับเทศกาลฮาโลวีนกันเลยครับ กับภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติออสเตรเลียเรื่องนี้ (คือเรื่องนี้มีความออสซีจริง ๆ นะครับ ถ้าใครคิดว่าอยากจะไปดูแบบ Soundtrack อาจจะเกิดอาการมึนนิดหน่อย เพราะภาษาอังกฤษสำเนียงออสซีนี่ฟังยากเหลือเกิน 555)
ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของผู้กำกับหญิง Natalie Erika James ที่แม้จะมือใหม่ แต่ก็มีแบ็กอัปด้วยทีมโพรดิวเซอร์ชื่อดังที่เราคุ้นชื่อกันดี ตั้งแต่นักแสดงหนุ่มอย่าง Jake Gyllenhaal และคู่พี่น้องตระกูลรุสโซ Joe และ Anthony Russo ผู้กำกับหนังฮีโร AVENGERS: ENDGAME (2019) อีกต่างหาก
แถมหนังเรื่องนี้ยังการันตีคุณภาพ กวาดคำวิจารณ์ดีเยี่ยมจากเวที Sundance Film Festival และคว้าคะแนนมะเขือสดจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไปได้ถึง 92% อีกต่างหาก
เนื้อเรื่อง
งครอบครัวๆ หนึ่ง ในวันที่ เคย์ (Emily Mortimer จากหนัง Mary Poppins Returns และ Match Point) และแซม (Bella Heathcote จากหนัง The Neon Demon, In Time และ Pride and Prejudice and Zombies) แม่กับลูกสาวที่ขับรถกลับมายังบ้านสีขาวหลังใหญ่
บ้านหลังนั้นเหลือผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียวคือเอ็ดน่า (Robyn Nevin จาก The Matrix Revolutions และ The Matrix Reloaded) คุณยายของแซม ทว่าเธอกลับหายตัวไปจากบ้านหลายวันจนคนข้างบ้านสงสัยและไปแจ้งตำรวจ ระหว่างการค้นหาและจัดบ้านที่ดูรกรุงรัง เอ็ดน่าก็กลับมาในสภาพมอมแมม และไม่ได้บอกอะไรว่าเธอไปที่ไหนมา
ระหว่างนั้น ทั้งสองแม่ลูกก็พยายามอยู่เป็นเพื่อนๆ หญิงชราทดแทนความผิดที่ไม่ค่อยได้กลับมาดูแล แต่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งพบความแปลกประหลาด กับพฤติกรรมที่แปลกออกไปและร่องรอยบางอย่างที่ชักชวนให้สงสัย...คุณแม่หรือคุณยายของพวกเธอนั้นเป็นอะไรกันแน่...
พล๊อตของเรื่อง
จริง ๆ พล็อตของดูหนังออนไลน์ เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนครับ พูดถึงครอบครัวแม่และลูกสาวที่อยู่เมืองหลวงมานาน ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านที่อยู่นอกเมือง ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมมานานแล้ว ส่วนแม่หรือคุณยายเองก็มีปัญหาโรคสมองเสื่อม หลง ๆ ลืม ๆ อีกต่างหาก
ความน่ากลัวเลยเริ่มต้นตั้งแต่ที่ทั้งคู่กลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ปรากฏว่าคุณยายดันหายตัวไปอย่างลึกลับ แล้วอยู่ดี ๆ ก็โผล่มาเฉย แต่การกลับมาของคุณยายเอ็ดน่าในคราวนี้ไม่ได้แค่กลับมาอย่างเดียว
แต่ดูเหมือนว่าพฤติกรรมประหลาด ๆ ของคุณยายและความลึกลับบางอย่างที่อยู่ในบ้าน จะติดตามคุณยาย มาสร้างความปั่นป่วนให้กับลูกสาวอย่างเคย์ และหลานสาวอย่างแซมอีกด้วย
การเล่าเรื่อง
วิธีการเริ่มเล่าเรื่องราวของ Relic เน้นการสร้างบรรยากาศอันเงียบเชียบแต่ชวนขนลุก เนื่องจากหนังดำเนินเรื่องผ่านตัวละครแค่เพียง 3 คนคือ เอ็ดน่า (โรบิน นีวิน), เคย์ ผู้เป็นแม่ (เอมิลี่ มอร์ทิเมอร์) และแซม ลูกสาว (เบลลา ฮีธโค้ท)
ตัวหนังแทบจะปราศจากการเร้าอารมณ์ด้วยการใช้เทคนิคหลอกคนดูด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม แต่อาศัยความไม่น่าไว้วางใจของซอกหลืบของบ้าน ที่ดูผุพังและเต็มไปด้วยคราบเชื้อรา ซึ่งดูจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศที่ชวนขนลุกแทรกสอดไปพร้อมๆกับวิธีการเผยพฤติกรรมแปลกๆของคุณยายเอ็ดน่าที่ทวีความประหลาดมากขึ้นทุกที
อย่างไรก็ตามเมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง (ตั้งแต่บรรทัดนี้มีการเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด) คนดูจะต้องทำความเข้าใจว่า ความพิศวงทั้งหมดในเรื่องนั้นมีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับอาการป่วยของคุณยายเอ็ดน่า
ที่มีอาการภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ซึ่งหนังอ้างถึงประเด็นนี้หลายครั้ง โดยเฉพาะ “เรื่องเล่า” ที่เอ็ดน่าบอกว่าเธอเคยปล่อยให้คุณตาเป็นโรคนี้และตายอย่างลำพัง
หลังจากที่เอ็ดน่าพยายามกินรูปถ่ายของครอบครัว เพราะเธอไม่อยากให้ความทรงจำหายไป มิหนำซ้ำบ้านที่เริ่มผุพัง (ซึ่งเปรียบเสมือนกับร่างกายของเอ็ดน่าในเวลานี้) เริ่มเน่าสลายไป จนช่วงเหตุการณ์ไคลแมกซ์เมื่อบ้านกลายสภาพเป็นเขาวงกตที่แซมหาทางออกไม่เจอ และคุณยายเอ็ดน่าก็เริ่มกลายร่างเป็นตัวประหลาดที่ไล่ล่าสองแม่ลูก
แม้ว่าสองแม่ลูกจะพยายามหนีเอาชีวิตรอดแต่ สุดท้ายเคย์ก็กลับเปลี่ยนใจและเดินกลับไปหาเอ็ดน่า ผู้เป็นแม่ เธอจึงอุ้มเอ็ดน่ากลับไปที่เตียงนอนพยายามแกะผิวหนังภายนอกออกทั้งหมดจนเหลือแค่เพียงร่างสีดำ เคย์เฝ้ามองแม่จนลมหายใจสุดท้ายเช่นเดียวกับแซมที่มาหายายและแม่ของเธอที่เตียง
ทั้งสามคนเมื่อนอนเรียงรายกันแล้ว เคย์กลับสังเกตว่าแม่เธอก็มีจุดสีดำที่กลางหลังเช่นกัน นั่นหมายความว่าในอนาคตแล้วเคย์เองก็จะมีอาการแบบเดียวกับเอ็ดน่า ที่แซมจะต้องเตรียมตัวรับมือเช่นกัน
จุดเด่น
หนังเรื่องนี้มีซีรี่ย์ Netflix จุดยอดเยี่ยม 2 อย่างที่ผมอยากพูดถึงและชื่นชมครับ อย่างแรกคือ ตั้งแต่ต้นจนจบ หนังเรื่องนี้ค่อย ๆ สร้างบรรยากาศความน่ากลัว และความไม่ไว้วางใจได้แทบจะทุกวินาที โดยเฉพาะทุกฉากที่อยู่ในบ้าน หรือฉากที่มีคุณยายเอ็ดน่าปรากฏตัวขึ้น
อันนี้ก็ต้องยกความดีความชอบใหัการแสดงของคุณยาย Robyn Nevin ที่สามารถกลายเป็นคุณยายเอ็ดน่าที่มีอาการสมองเสื่อม หวาดระแวง และส่งสายตาที่ไม่น่าไว้วางใจให้เราได้รู้สึกไม่ไว้วางใจได้ดีมาก ๆ
รวมถึงต้องให้เครดิตกับการฉาก-แสง-เซ็ตติ้ง-บรรยากาศ และเสียง ที่สามารถออกแบบบ้านที่มีป่าล้อมรอบ พร้อม ๆ กับการเสริมสร้างบรรยากาศด้วยการใช้องค์ประกอบโดยรวม ทำให้บ้านกลางป่าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่ไม่ได้ถึงกับลึกลับ ดูเผิน ๆ ก็บ้านทั่วไปนี่ล่ะครับ
แต่ก็เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจลอยอวลอยู่ทั่วทั้งเรื่อง รวมทั้งยังเป็นหนังที่ไม่ได้เน้นผีออกมาตุ้งแช่ ๆ แต่เป็นหนังที่ใช้บรรยากาศโดยรวมสร้างความสยองขวัญและไม่ไว้วางใจได้เป็นอย่างดี เเป็นหนังสยองขวัญที่ค่อย ๆ ขับเน้นความน่ากลัวและความไม่น่าไว้วางใจขึ้นทีละนิด ๆ อย่างช้า ๆ
อย่างที่สองก็คือ ถ้าจะมองกันว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญผีหลอก ก็พอได้อยู่ แต่ความน่าสนใจของหนังผีเรื่องนี้ก็ตรงที่่ การหยิบเอาเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีช่องว่างแห่งความห่างเหินระหว่างแม่-ลูก-หลาน ที่คุณยายเองก็ต้องประสบปัญหาสมองเสื่อม
ถูกปล่อยให้อยู่บ้านตามลำพัง ส่วนลูกที่อยู่ในเมืองเองก็มีหน้าที่การงานรุงรังจนทำให้ไม่มีเวลาดูแลแม่มากพอ คงไม่ถึงขั้นทอดทิ้งหรือดุด่า แต่การดูแลแม่สมองเสื่อมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจจริง ๆ นั่นแหละ
ส่วนหลานสาวเอง แม้ว่าจะดูสนิทกับคุณยายดี แต่ด้วยความที่คุณยายสมองเสื่อม ก็ต้องรับมือกับอารมณ์ “ผีเข้า-ผีออก” นึกจะใจดีก็ใจดี นึกจะอารมณ์ร้ายก็ปรี๊ดขึ้นมาทันควัน บางทีคุณยายให้ของอะไรก็จำไม่ได้ พอมาเจออีกทีก็ดุหลาน หาว่าเป็นขี้ขโมยไปอีกแน่ะ ซึ่งตรงนี้คุณหลานเองก็ต้องรับมือกับความขึ้น ๆ ลง ๆ ของคุณยายด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งอิดหนาระอาใจในเวลาเดียวกัน
ซึ่งสิ่งที่ผมเองพลอยคิดไปถึงเรื่องนี้ก็คือ หรือหนังเรื่องนี้จริง ๆ แล้ว อาจใช้พล็อตและการดำเนินเรื่องแบบหนังสยองขวัญ ความเป็นผีมาเคลือบเรื่องราวความสัมพันธ์อันแสนจะอึมครึมนี้ก็ได้นะครับ เพราะแม้ว่าบรรกาศของตัวหนังจะคล้อยตามและบิลต์ให้เราเกิดความไม่น่าไว้วางใจ
และเชื่อว่า เดี๋ยวผีมันจะต้องมาแหละ แต่หนังเรื่องนี้ก็ใช้ความสยองขวัญในการเคลือบเรื่องราวความเจ็บปวดของความสัมพันธ์และการทิ้งผู้สูงอายุ อาการหลงลืม และการถูกลืมได้อย่างน่ากลัว ลุ่มลึกและอึมครึมจริง ๆ
จุดสังเกต
ส่วนข้อสังเกตของหนังเรื่องนี้อยู่ที่พล็อตเรื่องครับ เพราะแม้ว่าตัวเรื่องโดยรวมจะเต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ และความน่ากลัว รวมถึงความหดหู่อะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือ ด้วยพล็อตเองที่ยังอธิบายเรื่องราวได้ยังไม่ครอบคลุมมากพอ
ที่จะบอกเล่าที่มาที่ไปว่า เหตุผลและการกระทำต่าง ๆ ของตัวละครนั้น ๆ ทำสิ่งนั้นไปทำไม ทำแล้วจะเกิดอะไร ทำไมถึงต้องทำสิ่งนั้น ก็เลยพลันให้เห็นช่องว่างหลวม ๆ อะไรบางอย่างในการดำเนินเรื่องอยู่พอสมควร
และอีกจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดก็คือบทสรุปของเรื่องครับ แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้สามารถให้ความกลัวและความหดหู่ได้แบบจัดเต็ม แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนว่า ตอนจบนั้นแอบมีความไม่แมสอยู่นะครับ
เป็นบทสรุปจบที่อาจจะแอบย่อยยากอยู่ประมาณหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งถ้าใครที่ไม่ชอบก็อาจจะไม่ชอบเลย แต่ใครที่ชอบขบคิด หรือตีความ ก็อาจจะชอบหรือประทับใจที่มันจบแบบนี้ (ก็ได้ด้วย) ได้เหมือนกัน
โดยรวม
คือถ้าใครไม่ชอบหนังผี Jump Scare สไตล์เดิม ๆ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ก็เป็นทางเลือกใหม่ ๆ ที่ท้าทายประสบการณ์ของคอหนังได้ดีทีเดียวเลยครับ แม้ว่าพล็อตอาจจะยังหลวม ๆ บ้าง และหลายคนอาจงง ๆ กับบทสรุปแบบนั้น แต่บอกได้เลยครับว่า นี่คือหนังสยองขวัญที่ทั้งอึมครึม หลอกหลอนและร้าวลึกจนไม่อาจจะลืมบ้านหลังนี้ และครอบครัวนี้ไปได้อีกเลย!
สรุป
เป็นหนังที่ได้ทั้งความหลอนขนหัวลุก กับภาพและเสียงที่สอดประสานสร้างความรู้สึกกลัว ส่วนเรื่องราวก็ชวนให้ฉุกคิด และถ้าใครเข้าใจสารในนั้นก็อาจอินได้ในตอนจบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น